บันทึกการเรียน ครั้งที่
10
วัน
พุธ ที่ 15
เดือน มีนาคม พ.ศ.
2560
เนื้อหา
คุณครูได้นำแผนการจัดประสบการณ์เกี่ยวกับ
หน่วยบ้านที่รุ่นพี่เขียน ไว้เพื่อให้ศึกษาเป็นแนวทางตัวอย่าง
แล้วคุณครูแจกกระดาษคำตอบที่สอบไปเมื่อสัปดาห์สอบกลางภาคมาตรวจคะแนนว่าตรงกับที่คุณครูตรวจหรือไม่ พร้อมเฉลยคำตอบของข้อสอบ ต่อมาคุณครูได้เปิดวีดีโอ เกี่ยวกับความสามารถของเด็กที่เป็น ออทิตติสชื่อน้องช่อแก้วที่ออกมาโชว์การแสดงตีขิมเพลงต่างๆในรายกายซุปเปอร์เท็น
และคุณครูให้นักศึกษาวาดภาพดอกบัวที่เราเห็นที่หน้าจอที่คุณครูเปิดและบันทึกสิ่งที่เห็นลงในกระดาษที่เราวาดดอกบัว
การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
รูปแบบการจัดการศึกษา
•
การศึกษาปกติทั่วไป (Regular
Education)
•
การศึกษาพิเศษ (Special
Education)
•
การศึกษาแบบเรียนร่วม (Integrated Education หรือ Mainstreaming)
•
การศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education)
การจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
•
เด็กที่มีความต้องการพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา
ความหมายของการศึกษาแบบเรียนร่วม (Integrated Education หรือ Mainstreaming)
•
การจัดให้เด็กพิเศษเข้าไปในระบบการศึกษาทั่วไป
•
มีกิจกรรมที่ให้เด็กพิเศษกับเด็กทั่วไปได้ทำร่วมกัน
•
ใช้ช่วงเวลาช่วงใดช่วงหนึ่งในแต่ละวัน
•
ครูปฐมวัยและครูการศึกษาพิเศษร่วมมือกัน
การเรียนร่วมบางเวลา (Integration)
•
การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติในบางเวลา
•
เด็กพิเศษได้มีโอกาสแสดงออก และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กปกติ
•
เป็นเด็กพิเศษที่มีความพิการระดับปานกลางถึงระดับมาก
จึงไม่อาจเรียนร่วมเต็มเวลาได้
การเรียนร่วมเต็มเวลา (Mainstreaming)
•
การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติตลอดเวลาที่เด็กอยู่ในโรงเรียน
•
เด็กพิเศษได้รับการจัดกระบวนการเรียนรู้และบริการนอกห้องเรียนเหมือนเด็กปกติ
•
มีเป้าหมายเพื่อให้เด็กเข้าใจซึ่งกันและกัน
ตอบสนองความต้องการซึ่งกันและกันและมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
•
เด็กปกติจะยอมรับความหลากหลายของมนุษย์
เข้าใจว่าคนเราเกิดมาไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกอย่าง ท่ามกลางความแตกต่างกัน
มนุษย์เราต้องการความรัก ความสนใจ ความเอาใจใส่เช่นเดียวกันทุกคน
ความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education)
•
การศึกษาสำหรับทุกคน
•
รับเด็กเข้ามาเรียนรวมกันตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษา
•
จัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล
Wilsaon , 2007
•
การจัดการเรียนการสอนที่ยึดปรัชญาของการอยู่รวมกัน (Inclusion) เป็นหลัก
•
การสอนที่ดี เป็นการสอนที่ครูกับนักเรียนช่วยกันให้ทุกคนเป็นสมาชิกที่ดีของชุมชน
•
กิจกรรมทุกชนิดที่จะนำไปสู่การสอนที่ดี (Good Teaching) ต้องคิดอย่างรอบคอบเพื่อหาหนทางให้นักเรียนทุกคนสามารถเรียนได้
•
เป็นการกำหนดทางเลือกหลายๆ ทาง
สรุปความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม
•
เป็นการจัดการศึกษาที่จัดให้เด็กพิเศษเข้ามาเรียนรวมกับเด็กปกติ
โดยรับเข้ามาเรียนรวมกัน
ตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษาและจัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล
•
เด็กพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา
•
เกิดจากปรัชญาการศึกษาที่กล่าวไว้ว่า การศึกษาสำหรับทุกคน
(Education for All)
•
การเรียนรวม เป็นแนวคิดทางการศึกษาอย่างหนึ่งที่โรงเรียนจะต้องจัดการศึกษาให้กับเด็กทุกคนโดยไม่มีการแบ่งแยกว่าเด็กคนใดเป็นเด็กปกติ
หรือเด็กคนใดเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
•
เด็กเลือกโรงเรียนไม่ใช่โรงเรียนเลือกเด็ก
•
เด็กทุกคนที่ผู้ปกครองพาเข้ามาโรงเรียนทางโรงเรียนจะต้องรับเด็กไว้
และจะต้องจัดการศึกษาให้อย่างเหมาะสม และดำเนินการเรียนในลักษณะ “รวมกัน”
ที่ทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่ง ของสังคม ทุกคนยอมรับซึ่งกันและกัน
•
ทุกคนยอมรับว่ามี ผู้พิการ
อยู่ในสังคมและเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่จะต้องใช้ชีวิตร่วมกันกับคนปกติ
โดยไม่มีการแบ่งแยก
ความสำคัญของการศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
•
ปฐมวัยเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดของการเรียนรู้
•
“สอนได้”
•
เป็นการจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษที่มีขีดจำกัดน้อยที่สุด
บทบาทครูปฐมวัยในห้องเรียนรวม
ครูไม่ควรวินิจฉัย
•
การวินิจฉัย หมายถึงการตัดสินใจโดยดูจากอาการหรือสัญญาณบางอย่าง
•
จากอาการที่แสดงออกมานั้นอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้
ครูไม่ควรตั้งชื่อหรือระบุประเภทเด็ก
•
เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
•
ชื่อเปรียบเสมือนตราประทับตัวเด็กตลอดไป
•
เด็กจะกลายเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ครูไม่ควรบอกพ่อแม่ว่าเด็กมีบางอย่างผิดปกติ
•
พ่อแม่ของเด็กพิเศษ มักทราบดีว่าลูกของเขามีปัญหา
•
พ่อแม่ไม่ต้องการให้ครูมาย้ำในสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว
•
ครูควรพูดในสิ่งที่เป็นความคาดหวังในด้านบวก แต่ต้องไม่ให้เกิดความหวังผิดๆ
•
ครูควรรายงานผู้ปกครองว่าเด็กทำอะไรได้บ้าง เท่ากับเป็นการบอกว่าเด็กทำอะไรไม่ได้
•
ครูช่วยให้ผู้ปกครองมีความหวังและเห็นแนวทางที่จะช่วยให้เด็กพัฒนา
ครูทำอะไรบ้าง
•
ครูสามารถชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของเด็กในเรื่องที่เกี่ยวกับพัฒนาการต่างๆ
•
ให้ข้อแนะนำในการหาบุคลากรที่เหมาะสมในการประเมินผลหรือวินิจฉัย
•
สังเกตเด็กอย่างมีระบบ
•
จดบันทึกพฤติกรรมเด็กเป็นช่วงๆ
สังเกตอย่างมีระบบ
•
ไม่มีใครสามารถสังเกตอย่างมีระบบได้ดีกว่าครู
•
ครูเห็นเด็กในสถานการณ์ต่างๆ ช่วงเวลายาวนานกว่า
•
ต่างจากแพทย์ นักจิตวิทยา นักคลินิก มักมุ่งความสนใจอยู่ที่ปัญหา
การตรวจสอบ
•
จะทราบว่าเด็กมีพฤติกรรมอย่างไร
•
เป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้ครูและพ่อแม่เข้าใจเด็กดีขึ้น
•
บอกได้ว่าเรื่องใดบ้างที่เด็กต้องการความช่วยเหลือ
ข้อควรระวังในการปฏิบัติ
•
ครูต้องไวต่อความรู้สึกและตัดสินใจล่วงหน้าได้
•
ประเมินให้น้ำหนักความสำคัญของเรื่องต่างๆได้
•
พฤติกรรมบางอย่างของเด็กไม่ได้ปรากฏให้เห็นเสมอไป
การบันทึกการสังเกต
•
การนับอย่างง่ายๆ
•
การบันทึกต่อเนื่อง
•
การบันทึกไม่ต่อเนื่อง
การนับอย่างง่ายๆ
•
นับจำนวนครั้งของการเกิดพฤติกรรม
•
กี่ครั้งในแต่ละวัน กี่ครั้งในแต่ละชั่วโมง
•
ระยะเวลาในการเกิดพฤติกรรม
การบันทึกต่อเนื่อง
•
ให้รายละเอียดได้มาก
•
เขียนทุกอย่างที่เด็กทำในช่วงเวลาหนึ่ง หรือช่วงกิจกรรมหนึ่ง
•
โดยไม่ต้องเข้าไปแนะนำช่วยเหลือ
การบันทึกไม่ต่อเนื่อง
•
บันทึกลงบัตรเล็กๆ
•
เป็นการบันทึกสั้นๆเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กแต่ละคนในช่วงเวลาหนึ่ง
การเกิดพฤติกรรมบางอย่างมากเกินไป
•
ควรเอาใจใส่ถึงระดับความมากน้อยของความบกพร่อง มากกว่าชนิดองความบกพร่อง
•
พฤติกรรมไม่เหมาะสมที่พบได้ในเด็กทุกคน ไม่ควรจัดเป็นสิ่งผิดปกติ
การตัดสินใจ
•
ครูต้องตัดสินใจด้วยความระมัดระวัง
•
พฤติกรรมของเด็กที่เกิดขึ้น
ไปขัดขวางความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กหรือไม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น